วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

APRILIA RSV4 FACTORY


APRILIA RSV4 FACTORY

หลังจากที่ได้ทำตลาดรุ่น RSV4 Factory มาแล้วประมาณหนึ่งปี Aprilia ก็ได้เปิดตัว RSV4 R รุ่นปี 2010 ซึ่งเป็นรุ่นที่สเปคต่ำกว่ารุ่น Factory โดยการตัดระบบกันสะเทือน Ohlins ออกไป แล้วทดแทนด้วยตะเกียบรถจาก Showa และโช้คอัพหลังของ Sachs ในขณะที่เครื่องยนต์ V4 65 องศา 180 แรงม้า(bhp) ยังคงอยู่เช่นเดิม แม้ว่าราคาของรถรุ่นนี้ยังไม่มีการเปิดเผย แต่ Aprilia ตั้งใจจะให้มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ชนกับรถในระดับเดียวกันของญี่ปุ่น และ BMW S1000RR ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ราคาก็คงไม่หนีไปจาก 15,000 เหรียญสหรัฐฯมากนัก
Aprilia RSV4 R มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงสุดสัปดาห์นี้ (26-27 กันยายน) ในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์รายการ Imola SBK
ทั้ง RSV4 Factory และ RSV4 R ใช้บล็อคเครื่องยนต์ V-Twin เดียวกับตระกูล RSV 1000R โดย  Factory เป็นรุ่นท็อปที่ใช้วัสดุคาร์บอน แมกนีเซียม และอุปกรณ์จาก Ohlins ที่เน้นขายให้นักแข่งรายการ SBK ในขณะที่รุ่น R จะเน้นกลุ่มตลาดที่ใหญ่ขึ้นโดยการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ราคาต่ำลง
R ยังคงใช้โครงสร้างพื้นฐานและเครื่องยนต์เหมือนกับ Factory แต่จะลดต้นทุนโดยการตัดเอาครอบทำด้วยวัสดุแมกนีเซียมที่มีน้ำหนักเบาแต่ราคาแพงออกไป และใช้วัสดุที่ทำด้วยอลูมิเนียมแทน ส่วนโครงสร้างตัวถังก็ไม่สามารถรองรับการปรับระดับของเดือยหมุนข้อเหวี่ยง องศาของหัวแฮนเดิ้ลบาร์ และตำแหน่งของเครื่องยนต์ได้เหมือนรุ่น Factory
สิ่งที่ยังเหมือนเดิมอีกอย่างก็คือ ลิ้นบังคับน้ำมันและโหมดการเปลี่ยนระบบส่งกำลัง โดย “Race” จะเป็นโหมดที่ให้กำลังสูงสุดที่ 180 แรงม้า และแรงบิด 115 ปอนด์ฟุต “Sport” จะให้กำลังสูงสุดเช่นกันแต่จำกัดแรงบิดไว้เฉพาะ 3 เกียร์แรก ส่วน “Road” จะลดกำลังให้เหลือ 140 แรงม้า และจำกัดแรงบิดตลอดระดับความเร็วและเกียร์ทุกจังหวะ
ตะเกียบ Showa USD ขนาด 43 มิลลิเมตร ยังคงปรับได้แบบเต็มสเกลเช่นเดียวกับโช้คอัพของ Sachs
ในเรื่องของรูปลักษณ์คุณสามารถเลือกได้ 2 สี คือ ดำและขาว (ในส่วนของวัสดุพลาสติค) ส่วนสีของส่วนประกอบทางด้านเครื่องยนต์กลไกจะเป็นสีบรอนซ์เงินและสีดำ ต่างจากรุ่น Factory ที่ใช้สีแมกนีเซียมและสีทองสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ และสีแดงกับสีดำสำหรับวัสดุพลาสติค



DUCATI 1199 PANIGALE


DUCATI 1199 PANIGALE

ขอเริ่มที่เฟรมก่อนเลยก็แล้วกัน หากเป็นนักขี่ที่มีใจรัก DUCATI จริงๆ อาจจะไม่ปลื้มมากนักกับPanigale R เพราะโครงสร้างแนวตาข่ายนั้นหายไปเกือบสิ้น Panigale R ถูกลดน้ำหนักลงด้วยการใช้เฟรมแบบใหม่ ซึ่งมองดูแล้วคล้ายๆ กับการใช้เพียงจุดเชื่อมระหว่างเครื่องยนต์มาชนกับสวิงอาร์ม ตามด้วยการประกอบส่วนต่างๆ เพราะฉะนั้นการกำหนดจุดวางเครื่องยนต์จึงสำคัญมากๆ เพราะพลาดผิดไปเพียงมิลลิเมตรเดียวก็จะเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
                     การลดน้ำหนักของรุ่นนี้ วงล้อทั้งหน้า/หลัง มีส่วนช่วยได้มากจากการเปลี่ยนไปใช้ล้อ MARCHESINIด้านหน้าขนาด 3.50 x 17 นิ้ว จับคู่กับยาง 120/70 ZR 17 ด้านหลังขนาด 6.00 x 17 นิ้วกับยาง 200/55 ZR 17
                     มิติตัวรถของ Panigale R มีขนาด ความกว้าง/ยาว/สูง เท่ากับ 810/2,075/1,110 มม. ระยะห่างฐานล้อ 1,437 มม. ความสูงของเบาะนั่ง 825 มม. น้ำหนักรวมตัวรถ 165 กิโลกรัม หากเป็นน้ำหนักที่มีการเติมของเหลวชนิดพร้อมขี่จะขยับไปเป็น 189 กิโลกรัม
จุดเด่นของรถรุ่นนี้ก็คือระบบ DES (Ducati Electronic Suspension) ซึ่งเป็นการปรับตั้งที่ใช้ระบบอิเล็คทรอนิคส์ พูดง่ายๆ ก็คือ ปรับด้วยระบบไฟฟ้านั่นเอง ทั้งช็อคอับหน้าและหลังจะสามารถปรับได้ด้วยปลายนิ้ว โดยมีโหมดปรับอยู่บนแฮนด์บังคับ ช็อคอับหน้าจะเป็นเทเลสโคปิคหัวกลับ ขนาด 43 มม. จาก ÖHLINS รุ่น NIX 30 ผิวแกนช็อคอับเคลือบด้วย  TiN สีทองแบบเดียวกับรถแข่ง โหมดการปรับตั้งมาแบบจัดเต็มทั้งความกระด้างแข็งและสปีดช้า/เร็ว ของจังหวะการคืนตัว ซึ่งทั้งหมดไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลยใช้เพียงนิ้วและแผงควบคุมบนแฮนด์เท่านั้นระยะการทำงาน 120 มม. ด้านหลังเป็นช็อคอับเดี่ยวที่ติดตั้งแบบใหม่โดยเยื้องมาใต้เบาะทางด้านซ้ายของตัวรถ ÖHLINS รุ่น TTX 36 ปรับตั้งได้ละเอียด หลักการทำงานแบบเดียวกับด้านหน้า เน้นอารมณ์เกาะถนน ไม่ได้เน้นความนิ่มนวลมากนักระยะการทำงาน 130 มม.
ระบบเบรคของ Panigale R ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มรถสปอร์ต จานเบรคหน้านั้นเป็นแบบคู่ชนิดกึ่งให้ตัวได้ ขนาด 330 มม. คาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบเรเดียลเมาท์ โมโนบล็อกพร้อมติดระบบ ABS เสริมประสิทธิภาพการใช้เบรคให้อีกด้วย จานเบรคหลังแบบเดี่ยวตายตัวขนาด 245 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ บวกด้วย ABS ด้านท้ายรองรับการหยุด สมรรถนะการเบรคของ Panigale R ถือว่าให้ความมั่นใจได้สูงสุด กำราบแรงม้าเฉียดๆ 200 ตัว ให้สงบนิ่งได้แค่ปลายนิ้ว โดยผลผลิตระบบเบรคเป็นของ BREMBO ทั้งหมด
ขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ 2 ลูกสูบ L-Twin ระบบวาล์ว Desmodromic (4 วาล์ว/สูบ)ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำและพัดลมไฟฟ้า ปริมาตรสุทธิ 1,198 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชัก เท่ากับ 112 x 60.8 มม. กำลังอัดเครื่องยนต์ 12.5 : 1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้า ระบบถ่ายทอดกำลังเป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ชุดคลัทช์แบบเปียกสั่งงานด้วยระบบไฮดรอลิค พร้อมระบบ DQS (Ducati Quick Shift) บวกกับระบบ DTC (Ducati Traction Control) เรียกได้ว่าทั้งป้องกันการลื่นและเปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายและแม่นขึ้น
ขับเคลื่อนด้วยชุดโซ่และสเตอร์ มีโหมดการปรับตั้งเวลาขับขี่ 3 รูปแบบคือ Wet สำหรับสภาพถนนเปียกๆ หรือตะลุยในสายฝน Sport เอาไว้ขับขี่แบบทั่วไปซึ่งถือว่าเป็นโหมดปกติที่ใช้กันแต่ถ้าต้องการจะเล่นอะไรที่หนักขึ้นไวขึ้นก็จะปรับไปที่ Racing ระบบจะสั่งงานและประมวลผลแบบในสนามแข่ง อีกทั้งรอบเครื่องยนต์จะมีแบบจี๊ดเต็มรอบให้มันส์กันไป
                     แรงม้าสูงสุดคือ 195 ตัว ที่ 10,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 132 นิวตัน-เมตร ที่ 9,000 รอบ/นาที ทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 299 กม./ชม. ก็น่าจะพอนะครับ…
S


KAWASAKI ZX10R

KAWASAKI ZX10R

Kawasaki ZX10R ถือเป็นหนึ่งในรถขนาด 1 ลิตรที่ผู้คนยอมรับกันว่าดีที่สุดในโลก วันนี้ Thaimocyc จะมารีวิวกันครับ
สำหรับ Kawasaki ZX10R ตัว 2013 ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นรถสปอร์ตขนาด 1000 ซีซีที่ดีที่สุดในโลก โดยในปี 2013 นี้ได้มีการพัฒนาที่เจาะจงลงไปที่ตัวถังและการควบคุมรถเป็นพิเศษ แต่ในด้านความแรงของเครื่องยนต์ก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงแรงอยู่เหมือนเดิม
ด้านเครื่องยนต์ Kawasaki ZX10R ปี 2013 ได้ขยายขนาดวาล์วให้ใหญ่ขึ้น พร้อมกับออกแบบระบบท่อไอเสียใหม่ เพื่อพัฒนาการถ่ายเทอากาศที่ดีขึ้นและส่งผลให้ได้กำลังที่มากขึ้น แรงบิดสูงสุดถูกปรับให้ไปอยู่ที่รอบเครื่องสูงขึ้น ทำให้ผู้ขับสามารถเร่งความเร็วหลังออกจากโค้งได้อย่างทันใจ นอกจากนี้เครื่องยนต์ยังถูกปรับแต่งและลดน้ำหนักลงกว่า 10 กิโลกรัม
หน้าปัดเรือนไมล์เป็นแบบดิจิตอลที่แสดงข้อมูลชัดเจนทั้งโหมดการขับขี่ ความเร็วและข้อมูลต่างๆที่ผู้ขับต้องการ โดยสามารถมองเห็นได้เพียงแค่เหลือบตามองเท่านั้น และสำหรับผู้ที่ต้องการลงสนาม กระจกมองหลังสามารถถอดออกและติดตั้งได้อย่างง่ายดาย
ในส่วนรูปทรงภายนอก Kawasaki ZX10R มีโครงเหล็กที่มีขนาดเบาแต่แข็งแรงด้วยวัสดุมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ใน Moto GP แฟริ่งถูกปรับแต่งให้แหลมคมมากขึ้นเพื่อเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้รถในขณะที่ขับด้วยความเร็วสูง ตำแน่งการนั่งถูกปรับแต่งให้นั่งได้สบายมากขึ้น สามารถขับทางไกลๆได้โดยไม่เมื่อยเหมือนตัวก่อนๆ
ช่วงล่างถูกเซ็ตมาเป็นอย่างดีด้วยโช้คด้านหน้าของ Showa แบบ Inverted Big Piston Forks ส่วนโช้คด้านหลังเป็นแบบ horizontal back-link ซึ่งส่วนผสมที่ลงตัวของทั้ง 2 อย่างนี้ ทำให้ Kawasaki ZX10R สามารถขับไปได้ในทุกสภาพถนนอย่างนุ่มนวล ส่วนระบบเบรกเป็นระบบ ABS ที่มาพร้อมกับระบบ KIBS (Kawasaki Integrated Braking System) ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะที่สนับสนุนการทำงานของระบบเบรก ช่วยให้คุณสามารถควบคุมรถได้ดีขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน
แต่สิ่งที่ทำให้ Kawasaki ZX10R เป็นหนึ่งในรถขนาด 1 ลิตรที่ดีที่สุดในโลกคือระบบ S-KTRC (Sport-Kawasaki Traction Control) ที่ไม่เพียงแต่ป้องกันล้อล็อกและล้อฟรีเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับกำลังของรถให้เข้ากับสภาพถนน ด้วยเซ็นเซอร์ที่ประมวลผลมากกว่า 200 ครั้งต่อวินาที ทำให้ Kawasaki ZX10R รู้ว่าคุณต้องการกำลังขนาดไหนในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้รถวิ่งได้อย่างนุ่มนวลทั้งบนถนนทั่วไปและสนามแข่ง
สำหรับราคาของ Kawasaki ZX10R นั้นมีดีลเลอร์ในเมืองไทยบางเจ้าที่นำเข้ามาขาย โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 750,000-800,000 บาท ราคาอาจจะดูแพง แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพของรถที่อยู่ในเกรดเดียวกับตัว Moto GP แล้ว Kawasaki ZX10R ถือเป็นรถที่น่าลิ้มลองจริงๆครับ
จุดเด่น Kawasaki ZX10R


- แรงบิดนุ่มนวลสม่ำเสมอ

- แรงถึงใจ โดยเฉพาะทางตรงนี้น่าจะแรงที่สุดในโลกแล้วมั้ง

- สุดยอดระบบ Traction Control ที่เหนือใครจริงๆ

จุดด้อย Kawasaki ZX10R


- แรงกลางน้อยไปหน่อย เพิ่มมากกว่านี้ได้จะดีมาก

- แรงม้า 160 มันเริ่มจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้น่าจะดี

- ระบบการควบคุมแฮนด์น่าจะดีกว่านี้


วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

BMW S1000RR HP4

BMW S1000RR HP4

หลังจากล่ารางวัลรถยอดเยี่ยมของปี2012จากหลายๆสถาบันมาแล้ว BMWยังคงพาเจ้าS1000RRคันนี้ก้าวกระโดดต่อไปข้างหน้าสำหรับปี2013ที่จะมาถึงนี้ด้วยการผลิตแบบจำนวนจำกัด หรือlimited edition ใช้ชื่อรุ่นว่า HP4 ในส่วนของเครื่องยนต์สี่สูบเรียงถูกถ่ายทอดมาจากS1000RR ขนาดความจุที่999cc, 193แรงม้าไว้เช่นเดิม

          แล้วอะไรที่พิเศษล่ะ…ที่ทำให้มันเป็นรถlimited edition???

มันคือการที่BMWยกชุดเทคโนโลยีช่วงล่างล่าสุดเท่าที่รถที่ผลิตขายในท้องตลาดเคยทำมา บรรจงใส่ให้กับรถคนนี้!!! นั่นคือระบบ Dynamic Damping Control (DDC) ที่สามารถปรับลักษณะการทำงานได้อัตโนมัติตามสภาพและรูปแบบการขับขี่ของเรา ด้วยชุดวาล์วelectricที่สามารถปรับจังหวะยืดของช่วงล่างหรือความหนืดของช่วงล่างให้อยู่ในสภาพที่สามารถตอบสนองการขับขี่ให้สมบูรณ์แบบที่สุด

          Dynamic Damping Control เป็นการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีช่วงล่างจากในอดีตอย่างระบบ Electro Suspension Adjustment(ESA) ของBMW เอง หรือระบบช่วงล่างตัวกลั่นล่าสุดจาก Ducati 1199 panigaleเองที่ใส่ชุด electronicลงในช่วงล่างของ Ohlins

             Dynamic Damping Control คือเมื่อเรากดปุ่มคำสั่งเปิดใช้ระบบเพียงครั้งเดียวระบบทั้งหมดจะดำเนินการปรับเปลี่ยนลักษณะของความหนืดของช่วงล่างในรูปแบบต่างๆตามลักษณะการขับขี่เองโดยอัตโนมัติ โดยเราไม่ต้องป้อนข้อมูลหรือปรับเซ็ทใดๆอีกเลย ตรงจุดนี้เป็นผลพวงจากระบบช่วงล่างของรถยนต์BMWนั่นเอง ระบบDDCจะประสานการทำงานของวาล์วelectronicและลูกสูบที่จะควบคุมปริมาณการไหลของน้ำมันภายในตัวช็อคให้เกิดความหนืดที่จะส่งผลกับระยะยืดตัวของช่วงล่าง ในส่วนของจังหวะการยุบตัวหรือความแข็งอ่อนของช่วงล่างตรงนี้เราสามารถปรับตั้งได้ด้วย”มือ”เท่านั้นครับ

          ระบบDDCจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับตามจุดต่างๆของรถ เช่น การยืดและยุบตัวของspring, ความเร็วที่ใช้ในขณะนั้น, องศาการเอียงรถในขณะเข้าโค้ง เป็นต้น โดยมีการเซ็ทค่าไว้ทั้งหมด15ระดับให้เหมาะสมกับกายภาพและสไตล์การขับขี่ของนักบิดแต่ละคน

BMWได้ปรับปรุงรายละเอียดในจุดอื่นๆอีกมากมายเพื่อที่จะเป็นผู้นำทั้งด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีให้เหนือกว่ารถค่ายอื่นๆ เช่นระบบ Dynamic Traction Control(DTC), ระบบABS, ระบบโหมดการขับขี่ที่สามารถเลือกได้ทั้งแบบ สภาพถนนเปียก, แบบsport, แบบrace และ แบบslick ที่มีการทำงานแตกต่างจาก S1000RRตัวแรกที่ทำงานด้วยการตัดรอบเครื่องเพื่อลดกำลังเครื่องให้เหมาะกับสภาพการขับขี่ที่เราตั้งไว้ แต่สำหรับตัวHP4นี้เราจะไม่รู้สึกว่ากำลังจะหดหายไปไหนในโหมด RAINเลย กำลังเครื่องจะทะลักทลายออกมาอย่างดุดันเหมือนกันทั้งสี่โหมด

          ทั้งหมดที่กล่าวมาคือผลงานล่าสุดจากค่ายใบพัดสีฟ้า ที่เตรียมตัวต้อนรับในปีหน้า2013ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ ถือว่าเป็นความเคลื่อนๆไหวของรถsuper sportที่น่าสนใจมากๆท่ามกลางกระแสที่เงียบเหงาของรถsuper sportจากสี่ค่ายญี่ปุ่นที่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ รอและรอ…..ติดตามชมกันต่อไปครับ 


ฟังเพลงออนไลน์